หัวข้อ
- โลหิตจางส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร
- สถานการณ์โลหิตจางในประเทศไทย,
- จะวินิจฉัยภาวะโลหิตจางอย่างไร
- กลุ่มเสี่ยงของโรคโลหิตจาง
- การป้องกันโลหิตจาง ตามคำแนนำขององค์การอนามัยโลก (ไม่ใช่การรักษาโลหิตจาง ซึ่งจะกล่าวต่อไป)
- การป้องกันโลหิตจางแบบรับประทานอาทิตย์ละครั้ง สำหรับเด็ก 0-5 ปี
- การป้องกันโลหิตจางแบบรับประทานอาทิตย์ละครั้ง สำหรับหญิงวัยเจริญพันธ์
- การรักษาโลหิตจาง
- ยาน้ำเสริมธาตุเหล็กสำหรับเด็ก
โลหิตจางส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร
- ส่งผลต่อเชาว์ปัญญา พฤติกรรม และการเจริญเติบโตของเด็กทารก เด็กก่อนวัยเรียน และวัยเรียน
- ลดภูมิคุ้มกันในทุกช่วงอายุตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ ทำให้เสี่ยงต่อการโรคติดเชื้อ
- ทำให้กล้ามเนื้อใช้พลังงานได้ไม่เต็มที่ ส่งผลต่อผลิตภาพในการทำงานตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยทำงาน
- ส่งผลต่อหญิงตั้งครรภ์ เพิ่มความเสี่ยงทั้งต่อหญิงตั้งครรภ์และเด็กทารก รวมถึงการเพิ่มอัตราการตายของทารก
สถานการณ์โลหิตจางในประเทศไทย
- องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ใช้ความชุกของโลหิตจางเป็นตัวแบ่งความรุนแรงของภาวะโลหิตจาง ถ้าความชุกมากกว่าหรือเท่ากับ 40% ถือว่ามีปัญหาโลหิตจางอย่างรุแรง ถ้าความชุก ร้อยละ 20 -39.9% อยู่ในระดับปานกลาง
- องค์การอนามัยได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภาวะโลหิตจาง และพัฒนาโปรแกรมเพื่อ Mapping พื้นที่เสี่ยงของประเทศทั่วโลก ในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ ไทยอยู่ในกลุ่มโลหิตจางระดับปานกลาง
- สถานการณ์ของกลุ่มก่อนวัยเรียน อยู่ในระดับปานกลาง
- สถานการณ์ของกลุ่มหญิงเจริญพันธุ์ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ อยู่ในระดับปานกลาง เช่นกัน
จะวินิจฉัยภาวะโลหิตจางอย่างไร
- โลหิตจางเป็นโรค วินิจฉัยจากปริมาณของฮีโมโกลบิน หรือ % ความเข้มข้นของเลือด (ฮีมาโตคริต หรือ hct ) ที่ต่ำกว่าจุดตัดที่กำหนด (จุดตัดขึ้นกับ เพศ ช่วงอายุ และขึ้นกับว่าตั้งครรภ์หรือไม่)
- โลหิตจางเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ถ้าสูญเสียเลือดจากอุบัติเหตุ แท้งบุตร หรือเลือดออกในอวัยวะภายใน เช่นกระเพาะอาหาร ก็ทำให้เกิดโลหิตจางอย่างเฉียบพลันได้ แต่โลหิตจางจากการเสียเลือดมีไม่มาก สาเหตุส่วนใหญ่ของโลหิตจางเกิดจาก ไม่มีธาตุเหล็กที่เป็นสารตั้งต้นที่สำคัญในการสร้างเม็ดเลือด ภาวะการพร่องธาตุเหล็ก คือปัญหาที่สำคัญที่เป็นสาเหตุที่สามารถป้องกันได้ของโรคโลหิตจาง
สรุป โรคโลหิตจางเกิดจากหลายสาเหตุ และสาเหตุที่สำคัญคือเกิดจากการขาดธาตุเหล็กที่เป็นสารตั้งต้นในการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งเป็นสาเหตุที่สามารถป้องกันได้
- ธาตุเหล็กจะถูกเก็บสะสมในร่างกาย (Pool) เมื่อร่างกายสร้างเม็ดเลือด ก็จะนำเหล็กที่สะสมมาใช้ และเมื่อรับประทานธาตุเหล็กเข้าไปก็จะนำเหล็กไปสะสมใน Pool ถ้ารับประทานธาตุเหล็กเข้าไปน้อยกว่าปริมาณที่ร่างกายต้องการ ธาตุเหล็กที่เก็บไว้ใน Pool ก็จะลดลง ซึ่งถ้าลดลงไม่มาก ก็ยังเพียงพอในการสร้างเม็ดเลือด คือ มีการพร่องธาตุเหล็ก แต่ยังไม่โลหิตจาง แต่ถ้าพร่องลงไปมากจนไม่เพียงพอในการสร้างเม็ดเลือด ก็จะพร่องทั้งเหล็กร่วมกับโลหิตจางด้วย เนื่องจากการตรวจเลือดเพื่อหาว่ามีการพร่องธาตุเหล็กนั้นทำได้ยาก และราคาแพง ในทางปฏิบัติทางคลินิก จึงใช้การตรวจเลือดเพื่อหาระดับฮีโมโกลบิน หรือฮีมาโตรคริต ในการวินิจฉัยโรคโลหิตจางมากกว่า
- สรุปได้จากแผนภูมิด้านล่าง คือ โรคโลหิตจางจากการพร่องธาตุเหล็ก เป็นส่วนหนึ่ง (sub set) ของโรคโลหิตจาง และ ภาวะการพร่องธาตุเหล็กจนเกิดภาวะโลหิตจางเป็นส่วนหนึ่ง (sub set) ของภาวะการพร่องธาตุเหล็ก
กลุ่มเสี่ยงต่อโรคโลหิตจาง
กลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคโลหิตจาง จะใกล้เคียงกับ การขาดสารไอโอดีน และการขาดวิตามมินเอ โดยกลุ่มเสี่ยงต่อโรคโลหิตจางจากการพร่องธาตุเหล็กได้แก่ เด็กทารกแรกเกิด โดยเฉพาะกลุ่มเด็กน้ำหนักแรกคลอดต่ำ เด็กก่อนวัยเรียน หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร และหญิงวัยเจริญพันธุ์ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยก่อนหมดประจำเดือน
การป้องกันโลหิตจาง (ไม่ใช่การรักษาโลหิตจาง ซึ่งจะกล่าวต่อไป)
- การป้องกันโรคโลหิตจาง คือการจัดการกลุ่มที่เสี่ยงต่อโลหิตจาง ก่อนที่จะเป็นโรคโลหิตจาง ซึ่งแนวทางการจัดการนั้นเน้นการให้วิตามินหรือยาเม็ดเสริมธาตุเหล็กในกลุ่มเสี่ยงเหล่านั้น เพราะเป็นวิธีที่ได้รับการพิสูจน์เชิงต้นทุนประสิทธิผลแล้ว
- กลุ่มเสี่ยงที่ต้องได้รับการป้องกันโดยให้วิตามินหรือยาเม็ดเสริมธาตุเหล็กแบบถ้วนหน้าทุกคน (Universal) คือ หญิงตั้งครรภ์และภาวะเด็กแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อย
- แม้สถานการณ์ความรุนแรงโรคโลหิตจางในภาพรวมของประเทศยังไม่เกิน 40% แต่ในบางพื้นที่หรือบางภาคของประเทศไทย น่าจะเกิน 40% ฉะนั้นถ้าพื้นที่ไหนมีข้อมูลความชุกของโลหิตจางมากกว่า 40% แล้ว ก็ควรที่จะให้วิตามินหรือยาเม็ดเสริมธาตุเหล็กแบบป้องกันให้แก่กลุ่มเสี่ยงเหล่านั้น ด้วยขนาดของยาและระยะเวลา ตามแผนภูมิด้านล่าง
การป้องกันโลหิตจางแบบรับประทานอาทิตย์ละครั้ง สำหรับเด็ก 0-6 ปี
- กรมอนามัยร่วมกับ สปสช.ได้จัดทำชุดสิทธิประโยชน์ในการให้ยาน้ำธาตุเหล็กในเด็ก 6 เดือนถึง 6 ปี เพื่อป้องกันโรคโลหิตจางในเด็ก โดยเป็นการให้อาทิตย์ละครั้งหรือ Weekly Dose เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เป็นโรคโลหิตจาง โครงการนี้เป็นโครงการที่น่าลงทุนสำหรับเด็กไทย เพราะถ้าเป็นโลหิตจาง จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของการเรียนต่ำ มีผลต่อเชาว์ปัญญาของเด็ก
- ขนาดของยาแบ่งเป็น 2 ขนาดคือ
- เด็ก 6 เดือนถึง <2 ปี ให้ 12.5 มก.ของธาตุเหล็ก อาทิตย์ละครั้ง (ครึ่งช้อนชา ของ FerroKid ผลิตโดยองค์การเภสัขกรรม)
- เด็ก 2-5 ปี ( 5 ปี 11 เดือน 29 วัน) ให้ 25 มก.ของธาตุเหล็ก อาทิตย์ละครั้ง (1 ช้อนชา ของ FerroKid ผลิตโดยองค์การเภสัขกรรม)
- แนะนำ FerroKid ขนาด 60 ซีซี เนื่องจาก
- เป็นยาที่องค์การเภสัชกรรม เป็นผู้ผลิต ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ของกระทรวงสาธารณสุข และราคาไม่แพง ขวดละ 30 กว่าบาท
- ธาตุเหล็กที่เป็นยาน้ำ ได้ทดสอบความคงตัวของยาแล้วประมาณ 4 เดือน ถ้าเก็บในตู้เย็นที่ 2-8 o ถ้าเด็ก 6 เดือนถึง น้อยกว่า 2 ปี จะกินยาเท่ากับ 2 ช้อนชา x 5 ซีซี x 4 เดือน = 40 ซีซี หรือ ทิ้งแค่ 20 ซีซี ถ้าเป็นเด็ก 2-5 ปี ก็จะกินยา 80 ซีซีใน 4 เดือน หรือไม่มีการเหลือทิ้ง
การป้องกันโลหิตจางแบบรับประทานอาทิตย์ละครั้ง สำหรับหญิงวัยเจริญพันธุ์ (ตามคำแนำนำขององค์การอนามัยโลก)
- ได้ทำการศึกษาประสิทธิผลของการให้ยาเม็ดเสริมธาตุเหล็กในกลุ่มหญิงเจริญพันธุ์ตั้งแต่หญิงวัยรุ่นตลอดวัยทำงาน เพราะการขาดธาตุเหล็กจนทำให้เป็นโรคโลหิตจาง ซึ่งผลต่อผลิตภาพในการทำงาน
- การให้ยาเม็ดเสริมธาตุเหล็ก 1 เม็ด อาทิตย์ละครั้ง เป็นเวลา 3 เดือน จากนั้นไม่ให้ยา 3 เดือน แล้วขึ้นรอบใหม่ไปเรื่อยๆ จนพ้นวัยเจริญพันธุ์ ดังแผนภูมิด้านล่าง
การรักษาโลหิตจาง
การรักษาโลหิตจางแตกต่างจากการป้องกันโลหิตจางที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านั้น แตกต่างทั้งวัตถุประสงค์ ขนาดของยา และระยะเวลาในการรักษา ดังแผนภาพด้านล่าง